วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Z.com นำเสนอหลากหลายบริการออนไลน์ระดับคุณภาพ สู่ชาวไทย

Z.com เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ ที่เกิดจากการที่ทาง NetDesign Group ได้ควบรวมกิจการกับ บริษัทอินเทอร์เน็ตอันดับ 1 ของญี่ปุ่นอย่าง GMO Internet Group เปิดให้บริการชาวไทย ด้วยบริการหลัก 4 รูปแบบ ได้แก่ Cloud service (บริการเว็บโฮสติ้งระดับสูง ตั้งเซิร์ฟเวอร์ในไทย เข้าถึงเว็บไซต์ได้ด้วยความเร็วสูง, บริการจดทะเบียนโดเมนเนม), ระบบ e-commerce (บริการพื้นที่สำหรับเปิดร้านค้าออนไลน์), บริการชำระเงินออนไลน์ รวมถึง ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ด้วย


Mr. Masatoshi Kumagai ดำรงตำแหน่ง CEO บริษัท GMO Internet Group เผยถึงความมั่นใจในการลงทุน 2,000 ล้านบาท และร่วมเปิดตัว Z.com ในครั้งนี้ว่า การลงทุนในไทยถือเป็นโปรเจคที่ใหญ่มากของ GMO และเราเลือก NetDesign Group เพราะเล็งเห็นความมีชื่อเสียง และความสามารถในการทำธุรกิจออนไลน์มา 20 ปี และเมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ดังนั้นเราจึงทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อให้ Z.com เติบโตได้ 100% ซึ่งในปีหน้าทุกคนจะเห็น Z.com ในรูปแบบการทำธุรกรรมออนไลน์ เพราะในญี่ปุ่นธนาคารออนไลน์กำลังเฟื่องฟู และไม่มีสาขาธนาคารอีกต่อไป เราจึงนำวิสัยทัศน์ของเรามาผสมผสานเข้ากับ NetDesign Group เพื่อขึ้นนำเป็นผู้ให้บริการทางด้านอินเทอร์เน็ต

ดร. เฉลิมรัฐ นาควิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  GMO-Zcom NetDesign เปิดเผยว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงทุนกับ GMO Internet Group กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ต จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทในเครือทั่วโลกถึง 105 บริษัท, 5 บริษัทในเมืองไทย และมี 9 บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าธุรกิจสูงถึงมากกว่า 2 แสนล้านบาท และทาง Z.com จะให้บริการหลักทั้ง 4 รูปแบบ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Google Pixel อัพเดทใหม่! ใช้ Assistant สั่งการสมาร์ทโฮมได้ เช่นเดียวกับ Google Home



โดยปกติแล้วการควบคุมสมาร์ทโฮมต่างๆ ภายในบ้านจำเป็นต้องใช้แอพฯ เฉพาะทางของอุปกรณ์แบรนด์นั้นๆ หรือทางที่สะดวกกว่าก็คือการใช้อุปกรณ์ Google Home ในการควบคุมสมาร์ทโฮมทั้งหมดด้วยคำสั่งเสียงได้ แต่ล่าสุดทาง Google ได้อัพเดทฟีเจอร์ Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะ บนสมาร์ทโฟน Google Pixel และ Pixel XL ให้มีความสามารถเช่นเดียวกับ Google Home สั่งการอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆ ได้


ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับบ้านใครที่ใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮม ที่เริ่มเห็นในประเทศไทยกันบ้างแล้ว แต่ไม่มี Google Home ไว้สำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ก็สามารถใช้ Google Pixel สั่งการแทนได้ แต่ทั้ง Google Pixel และ Google Home ไม่ได้ถูกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย จะหามาใช้งานก็คงลำบากหน่อยละครับ

ที่มา : www.theverge.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

งานคู่ต้องมา! MediaTek เปิดตัวชิปเซ็ตตัวใหม่ Helio P25 ชูจุดเด่นเทคโนโลยีสนับสนุนสมาร์ทโฟนกล้องคู่สุดล้ำ

ได้ฤกษ์เปิดตัวสมาชิกคนล่าสุดแห่งบ้าน MediaTek ชิปประมวลผล Helio P25 ที่พร้อมเผยสเปคที่ไม่ธรรมดาอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากที่เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว บริษัทได้แถลงข่าวคราวชิปเซ็ตตัวนี้ไปบ้างแล้วบางส่วนสำหรับเจ้า Helio P25 เป็นชิปประมวลผลที่ถูกพัฒนาประสิทธิภาพด้านการทำงาน และการประมวลผลกราฟิกมาจากตัว Helio P20 ซึ่งคาดว่าจะถูกนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนที่มีกล้องคู่ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากมันมีเทคโนโลยีที่เด่นในเรื่องการส่งเสริมการทำงานกับสมาร์ทโฟนที่มีกล้องหลัง 2 ตัว โดยใช้หน่วยประมวลผลภาพที่มีชื่อว่า Imagiq ที่จะช่วยให้สมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปดังกล่าวสามารถใช้เอฟเฟคการถ่ายรูปขั้นสูง อย่างเช่น เทคนิคการถ่ายภาพชัดตื้น ที่ให้การถ่ายภาพคนแบบเบลอฉากหลังสวยๆ และระบบวัดแสงที่ทำงานได้แม่นยำขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ Imagiq ใน Helio P25 ยังมีความสามารถอื่นๆ ได้แก่
รองรับการใช้งานกับเซ็นเซอร์ภาพที่มีความละเอียดสูงสุด 24 ล้านพิกเซล (ในกรณีที่ใช้เซ็นเซอร์ภาพตัวเดียว) หรือรองรับการใช้งานกับเซ็นเซอร์ภาพ ความละเอียดสูงสุด 13 ล้านพิกเซล ในกรณีที่เป็นกล้องคู่
การลดเม็ดสีรบกวน
(Noise) ทั้งในภาพสี และภาพขาวดำ และการแสดงเอฟเฟคภาพชัดตื้นแบบเรียลไทม์
รองรับการบันทึกวีดีโอแบบ HDR พร้อมการพรีวิวอย่างเต็มรูปแบบ
มีเทคโนโลยี Turbo 3A ระบบวัดแสงทำงานได้เร็วกว่าเดิม 30-55%
ไม่แน่ว่าในเร็วๆ นี้ เราอาจจะได้เห็นเจ้าชิปเซ็ตตัวนี้ไปปรากฏในสมาร์ทโฟนกล้องคู่ ที่จ่อคิวเปิดตัวในงาน MWC 2017 ในช่วงปลายเดือนนี้ก็เป็นไปได้


วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Samsung Pay การชำระเงินรูปแบบใหม่ ปฏิวัติการใช้จ่ายคนไทย ส่งเสริมแนวคิดสังคมไร้เงินสด

 Samsung เปิดตัว Samsung Pay นวัตกรรมการชำระเงินรูปแบบใหม่อย่างเป็นทางการ ช่วยผลักดันประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสด ตาม National e-Payment ของรัฐบาล โดยมีภาครัฐ, พันธมิตรทางการเงิน และร้านค้าชั้นนำ เข้าร่วมสนับสนุนระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ผ่านสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่าย ปลอดภัย และครอบคลุมมากที่สุด


โดยผู้บริโภคในประเทศไทยให้การตอบรับ Samsung Pay อย่างดีเยี่ยม หลังจากเปิดให้ใช้งานในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา Samsung พร้อมที่จะขยายพื้นที่การใช้บริการระบบ Samsung Pay ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เอื้อต่อการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น


Samsung Pay เป็นนิยามใหม่ของระบบชำระเงินในเมืองไทย แม้ว่าแนวคิดกระเป๋าเงินดิจิทัลจะเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ Samsung Pay ก็ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากผู้บริโภคหลังจากเปิดให้บริการเพียง 4 เดือนเท่านั้น 

ฟีเจอร์เด่นของ Samsung Pay

Samsung Pay การชำระเงินรูปแบบใหม่ผ่านสมาร์ทโฟน มีฟีเจอร์ที่โดดเด่น 3 ประการ ได้แก่
  • ใช้ง่าย - หลังจากลงทะเบียนใช้งาน Samsung Pay แล้ว เมื่อต้องการชำระเงินก็แค่หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเลือกบัตรที่ต้องการ สแกนลายนิ้วมือยืนยันตัวตน และแตะสมาร์ทโฟนกับเครื่องรูดบัตร เพียงเท่านี้ก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้อย่างง่ายดาย
  • ปลอดภัย - อุ่นใจด้วยระบบโทเคน (Tokenization) ที่สร้างเลขบัตรดิจิทัล แทนการใช้งานเลขบัตรเครดิตจริงในการชำระเงิน ปลอดภัยขึ้นอีกขั้นด้วยระบบยืนยันตัวตนผ่านลายนิ้วมือทุกครั้งที่ชำระเงิน และ ระบบรักษาความปลอดภัยชั้น 1 คือ Samsung Know ตู้เซฟที่ช่วยปกป้องข้อมูล ตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์จนถึงซอฟต์แวร์ (ระบบนี้ยังไม่มีผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นทำได้)
  • ครอบคลุมมากที่สุด - เพราะ Samsung Pay รองรับเทคโนโลยี MST (Magnetic Secure Transmission) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับเครื่องรูดบัตรเครดิตที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย และยังรอบรับเทคโนโลยี NFC ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ของระบบการจ่ายเงินอีกด้วย ไม่ว่าที่ใดที่รับบัตรเครดิตก็รองรับ Samsung Pay ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถใส่บัตรเครดิตได้มากถึง 10 ใบ รวมทุกสิทธิประโยชน์ในเครื่องเดียว โดยไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสตางค์หรือบัตรเครดิตให้ยุ่งยากอีกต่อไป

Microsoft ผนึกกำลัง 3 พันธมิตรธุรกิจ แถลงวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนประเทศ ภายใต้แนวคิด Digital Transformation in Action

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรในภาคธุรกิจ เผยแนวคิดสู่ความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล จัดงาน Microsoft Solution Summit 2017 นำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่นครบครันภายใต้แนวคิด “Digital Transformation in Action” พร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนโฉมหน้าโลกเศรษฐกิจสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 อย่างเต็มศักยภาพ

งาน Microsoft Solution Summit 2017 ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้เข้าร่วมงานซึ่งเป็นระดับผู้บริหารทั้งฝ่ายพัฒนาธุรกิจและฝ่ายไอทีกว่า 1,000 คน จากกว่า 600 หน่วยงานราชการและองค์กรธุรกิจ รวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจของไมโครซอฟท์จำนวน 38 องค์กร เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมองด้านกระบวนการพลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล (digital transformation) ที่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การอัพเกรดระบบไอทีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและแนวทางการทำธุรกิจใน 4 มิติหลักๆ ได้แก่ การโต้ตอบและสื่อสารกับลูกค้า (Engage your customers) การเสริมศักยภาพให้กับพนักงาน (Empower your employees) การยกระดับประสิทธิภาพของธุรกิจ (Optimize your business) และการพลิกรูปแบบผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจ (Transform your products / business)
นายอรพงศ์ เทียนเงิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากระบวนการ Digital Transformation จะเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและองค์กรจำนวนมากต่างกล่าวถึงและเข้าใจในความสำคัญกันอย่างกว้างขวาง แต่ในทางปฏิบัติจริง กลับพบว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็วหรือเร่งด่วนเท่าที่ควร ทั้งยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรอบด้าน ทั้งจากสภาวะทางเศรษฐกิจและผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ท่ามกลางโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวนั่นเอง”
“ด้วยเหตุนี้เอง องค์กรต่างๆ จึงควรอ่านสถานการณ์ให้ไกลกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อตามกระแสหรืออยู่รอดในปัจจุบันเท่านั้น แต่ต้องเริ่มตั้งคำถามกับรูปแบบการทำธุรกิจในปัจจุบัน และรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ในเชิงลึกเพื่อค้นหามุมมองใหม่มาประกอบการตัดสินใจและวางกลยุทธ์” นายอรพงศ์กล่าวเสริม “ทั้งนี้ การจะประสบความสำเร็จบนเส้นทาง Digital Transformation ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เสริมศักยภาพขององค์กรได้อย่างเหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์และ machine learning เครือข่าย IoT (Internet of Things) หรือแม้แต่เทคโนโลยี AR (augmented reality) และ VR (virtual reality) ที่ล้วนพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางที่น่าสนใจ”
ดร.สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยเทรนด์การผลิกโฉมธุรกิจด้วยดิจิทัลในประเทศไทยว่า “ปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในธุรกิจมากขึ้น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากที่มีความตื่นตัวและเริ่มนำแผนงานดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและขีดความสามารถของบริษัท สำหรับตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนา การดำเนินงานและให้บริการผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน ที่ได้พัฒนาแหล่งข้อมูลและเครื่องมือเพื่อการลงทุนออนไลน์ การให้บริการผู้ลงทุน รวมถึงการพัฒนา platform ที่เชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนนำดิจิทัลมาเพิ่มศักยภาพการดำเนินงาน ที่ผ่านมามีการจัดสัมมนา IT Futures for Listed Company เพื่ออัพเดทเทรนด์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Cloud Adoption , Data Analytic, ERP on Cloud เป็นต้น โดยมีบุคลากรด้านไอทีเข้าร่วมกว่า 300 คน จะเห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมีความตื่นตัว และมีการลงทุนด้านดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความความสามารถให้กับธุรกิจ โดยตลาดหลักทรัพย์พร้อมสนับสนุนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสอดรับกับนโยบาย Digital Economy และยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ของภาครัฐ”
คุณนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวอีกว่า “ในปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าแทบทุกบริษัทได้ลงทุน หรือมีแผนในการปรับตัวรับผลของ digital disruption ในทุกวงการธุรกิจ ดังจะเห็นได้จากการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพมากมายที่มีความคล่องตัวสูง ทั้งยังมีความยืดหยุ่น ก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ทำให้บริษัทใหญ่ต่างเริ่มหันกลับมามองตัวเองถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะสามารถพลิกธุรกิจของตนเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างไม่ตกขบวน”
“สำหรับเอคเซนเชอร์เอง เราได้เห็นเทรนด์หลัก 5 ข้อที่ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ได้แก่ Intelligent Automation, Liquid Workforce, Platform Economy, Predictable Disruption และสุดท้ายคือความสามารถในการปรับตัวของคนเพื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งเกินกว่า 86% ของธุรกิจตระหนักแล้วว่าใน 3 ปีข้างหน้านี้ นวัตกรรมดิจิทัลจะสร้างผลกระทบกับธุรกิจมากขึ้นและทั่วถึงยิ่งขึ้น”
”จากประสบการณ์ตรงของเอคเซนเชอร์ที่ได้เข้าไปช่วยหลายธุรกิจปรับตัวได้สำเร็จ พบว่าปัจจัยที่นำไปสู่การพลิกโฉมธุรกิจได้สำเร็จคือความสามารถในการปรับแนวคิดและวิธีการทำงานร่วมกันของพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และเทคโนโลยี โดยมีความท้าทายหลักคือผู้นำ ที่จะพาองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ ถ้ามีผู้นำที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงและสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกับพนักงานได้ดีแล้ว จะทำให้การปรับองค์กรในช่วงแรกผ่านไปได้ด้วยดี และเป็นรากฐานสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นที่สูงขึ้นและสำเร็จผล สำหรับปี 2560 สิ่งที่บริษัทควรจะทำเป็นลำดับแรกคือการพัฒนาบุคลากรและการกำหนดเป้าหมายและบทบาทที่ชัดเจนในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทำงานร่วมกับพนักงานให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีการให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจากผู้นำในองค์กรทั้งทางด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ” คุณนนทวัฒน์กล่าวเพิ่มเติม
คุณปรัธนา ลีลพนัง รักษาการ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นอกจากกลยุทธ์และมุมมองใหม่ๆ ที่บริษัทต่างๆ ต้องนำมาปรับใช้ในยุคนี้แล้ว ปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งถือเป็นรากฐานของความสำเร็จของทุกธุรกิจ ทุกขนาด และทุกอุตสาหกรรม เอไอเอสในฐานะผู้นำด้านเครือข่ายและบริการดิจิทัลของไทย พร้อมสนับสนุนการพัฒนาของภาครัฐและภาคธุรกิจในทุกระดับของประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อผนึกกำลังกันก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ โดยเราได้วางแผนและพัฒนาโครงสร้างด้านดิจิทัลทั้งเครือข่ายและบริการให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น เพื่อรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกธุรกิจ พร้อม Transform สู่โลกดิจิทัลไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเครือข่ายทั้ง Mobile Super Wifi และ Fix Broadband จากเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ก้าวสู่ “เครือข่ายดิจิทัลที่รองรับการใช้งานระดับกิกะบิท” (Gigabit Network) พร้อมรองรับการก้าวสู่ 5G เป็นรายแรก, การพัฒนาดิจิทัลเซอร์วิสแพลตฟอร์ม ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย Video, Cloud, Mobile Payment และ IoT เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศนั้น เอไอเอสได้ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ ยกระดับประสิทธิภาพการใช้งานระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์บนเครือข่ายที่ดีที่สุดของเอไอเอส ซึ่งจะทำให้ลูกค้าของเราสามารถใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงในบริการอย่าง Office 365 หรือแพลตฟอร์มคลาวด์ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ได้เต็มสมรรถนะยิ่งขึ้น นับตั้งแต่การใช้งานทั่วไปอย่างการรับส่งอีเมล ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลในปริมาณมหาศาล หรือการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอ”

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

AIS จัดหนัก! คว้าช่อง HBO, FOX และ NBA มาไว้ในมือ พร้อมเตรียมขาย Chromecast ใน TME2017

เป็นที่ฮือฮากันพอสมควรสำหรับงาน AIS Vision 2017 ที่ช่องรายการดังอย่าง HBO ได้มาจับมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่อย่าง AIS รวมทั้งช่อง NBA และ FOX Networks เปลี่ยนมามอบความบันเทิงผ่านแอพ AIS PLAY และกล่องทีวี AIS PLAYBOX ซึ่งการกลับมาของ HBO ในครั้งนี้ หลังจากหายไปอึดใจหนึ่ง มีความน่าสนใจตรงที่ ทาง AIS ได้นำกลับมาในรูปแบบ HBO GO อีกด้วย



ซึ่ง HBO GO เป็นบริการของทาง HBO ในรูปแบบ Video on Demand ซึ่งความหมายก็คือ เราสามารถเลือกรับชมเนื้อหาของทาง HBO เรื่องไหน ตอนไหน และเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องมานั่งรอติดตามผังรายการ ตามเวลาต่างๆ อีกต่อไป และถือว่าคนไทยอย่างเราๆ เป็นกลุ่มคนอันดับแรกๆ ที่จะได้สัมผัสบริการนี้อีกด้วย เพราะในปัจจุบัน มีเพียง 50 รัฐของทางสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่สามารถเข้าใช้งานบริการนี้ได้ (อ้างอิงจาก http://www.hbogo.com/geo.html)
นอกจากนี้ ทาง AIS ยังได้บอกอีกว่า การให้บริการรายการ ภาพยนตร์ หรือซีรีส์ต่างๆ จะมาพร้อมกับซับไตเติ้ลภาษาไทยและพากษ์ไทยมาให้บริการอีกด้วย ทำให้คนไทยหลายๆ คนที่ไม่สะดวกรับชมรายการต่างๆ ในภาษาต่างประเทศ ก็สนุกสนานกับเนื้อหาต่างๆ จากผู้ให้บริการระดับโลกได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์ Game of Thrones จาก HBO,The Walking Dead จากทาง FOX, การแข่งขัน NBA และอีกมากมาย
ส่วนสำหรับค่าบริการในการรับชมบริการทั้ง 3 ช่องใหม่นี้ ทาง AIS ยังไม่ได้กล่าวถึงภายในงาน คงต้องรอดูกันต่อว่า จะมีค่าบริการ หรือโปรโมชั่นเป็นอย่างไรบ้าง ดึงดูดแฟนๆ ให้มาเป็นลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน?



นอกจากนี้ ทาง AIS ยังได้อัพเกรดความบันเทิงด้วยการร่วมมือกับทาง Google นำอุปกรณ์ Chromecast มาเตรียมวางขายในงาน Thailand Mobile Expo 2017 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้อีกด้วย โดยราคาจะอยู่ที่ 1,490 บาทเท่านั้น ซึ่งราคาแทบจะไม่ต่างจากต่างประเทศเลย
สำหรับอุปกรณ์ Chromecast เป็นอุปกรณ์ที่จะทำให้เรา สามารถนำรายการจากสมาร์ทโฟน ส่งไปเล่นยังทีวีจอใหญ่ได้ (ซึ่งตัวทีวีต้องมีช่องพอร์ต HDMI) และไม่ใช่ว่าเราจะสามารถแคสต์เนื้อหาต่างๆ ส่งไปยังทีวีได้ทั้งหมด แต่แอพฯ นั้นๆ ต้องรองรับการแคสต์อีกด้วย อย่างเช่น YouTube หรือ AIS PLAY ที่ได้เพิ่มฟีเจอร์นี้เข้ามาให้ใช้งานกัน